ในเดือนพฤศจิกายน 2024 นี้ Apple ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว MacBook Pro รุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมชิป M4 ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติวงการแล็ปท็อปด้วยการนำเอาเทคโนโลยี AI มาผสมผสานได้อย่างลงตัว ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมถึง 40% เมื่อเทียบกับรุ่น M3
สำหรับใครที่กำลังมองหาแล็ปท็อปตัวใหม่ หรือกำลังตัดสินใจว่าควรอัปเกรดจาก MacBook รุ่นเก่าดีหรือไม่ วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับสเปก MacBook Pro M4 ให้มากขึ้น ทั้งในแง่ของสเปค ฟีเจอร์ใหม่ และความคุ้มค่าในการใช้งาน ในบทความนี้เราจะพามาเจาะลึกรายละเอียด รีวิว MacBook Pro M4 รุ่นล่าสุด เปิดตัวมาแล้ว เร็วแรงแค่ไหน ซื้อแล้วคุ้มไหม
เปิดสเปก MacBook Pro M4 ตัวท็อปรุ่นล่าสุด แรงแค่ไหน น่าซื้อไหม ?
หน้าจอ: 14.2 นิ้ว mini LED (ความละเอียด 3024x1964; 254 ppi) ProMotion (120Hz)
โปรเซสเซอร์: Apple M4, รุ่น Pro หรือ Max
แรม: 16, 24, 32 หรือสูงสุด 128GB
พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: SSD ขนาด 512GB, 1, 2, 4 หรือ 8TB
ระบบปฏิบัติการ: macOS 15.1 Sequoia
กล้อง: 12MP พร้อมฟีเจอร์ Centre Stage
การเชื่อมต่อ: wifi 6E, Bluetooth 5.3, พอร์ต Thunderbolt 4/USB 4 จำนวน 3 ช่อง, HDMI 2.1, ช่องเสียบการ์ด SD, ช่องเสียบหูฟัง
ขนาด: 221.2 x 312.6 x 15.5 มิลลิเมตร
น้ำหนัก: 1.55 กิโลกรัม
การอัปเกรดครั้งใหญ่ภายในคือการเพิ่มชิป M4 series รุ่นล่าสุดของ Apple ที่เคยเห็นครั้งแรกใน iPad Pro M4 เมื่อต้นปี MacBook Pro 14 นิ้วรุ่นเริ่มต้นมาพร้อมชิป M4 แบบ 10-cores และ RAM 16GB เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากรุ่นก่อน
ชิป M4 เร็วกว่าชิป M3 รุ่นก่อนถึง 25% และเร็วกว่าชิป M1 รุ่นแรกถึง 1.8 เท่า ทำให้เร็วมากจริงๆ ในการใช้งานประจำวันรู้สึกได้ถึงความเร็วที่เพิ่มขึ้น ทั้งการเปิดแอปและประมวลผลข้อมูลที่เร็วกว่า MacBook Pro M1 Pro ที่ออกในปี 2021 อย่างเห็นได้ชัด
สำหรับการใช้งานทั่วไป ชิป M4 รุ่นเริ่มต้นถือว่าดีมากเพียงพอใช้งานแล้ว แต่สำหรับคนที่ต้องการเรนเดอร์วัตถุ 3D ประมวลผลตัวเลข หรือเขียนโค้ด มีชิป M4 Pro และ M4 Max ที่เพิ่ม core ประมวลผลและกราฟิกประสิทธิภาพสูง พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อ Thunderbolt 5
เรื่องดีไซน์ภายนอกยังคงเหมือนตัว M3 ตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียม ดูพรีเมียม แข็งแรง มี 2 สี คือสี Silver และ Space Black ในเรื่องของความบาง ไม่ได้บางมาก แต่ขนาด 14.2 นิ้ว ก็สามารถใส่กระเป๋าได้สบาย ไม่รู้สึกเทอะทะเกินเวลาทำงานนอกสถานที่
หน้าจอยังคงเป็นไฮไลท์ของรุ่นนี้ ด้วยจอ mini LED ที่สว่างและคมชัด พร้อมอัตรารีเฟรช 120Hz ที่ทำให้ภาพลื่นไหล สว่างกว่าคู่แข่งหลายรุ่น ดีทั้งกับงานทั่วไปและให้ภาพ HDR ที่สวยงาม Apple มีตัวเลือกจอ Nano-Texture เพิ่มเติมด้วย ในราคาประมาณ 6,000 บาท ซึ่งช่วยลดแสงสะท้อนได้มากเมื่อใช้งานในที่สว่างหรือกลางแจ้งได้
กล้องมีการอัปเกรดเป็นกล้อง Stage Centre ความละเอียด 12MP คล้ายกับที่ใช้ใน iPad ตั้งแต่ปี 2021 สามารถแพนและสแกนอัตโนมัติเพื่อให้ผู้ใช้อยู่ในเฟรมตลอดเวลาได้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องประชุมวิดีโอเป็นประจำ มีฟีเจอร์ Desk View ใหม่ที่ใช้เลนส์มุมกว้างพิเศษ เพื่อแสดงพื้นที่ด้านหน้าแล็ปท็อปสำหรับการทำ Demo จากระยะไกล แม้ภาพจากกล้องในตัวจะไม่คมชัดมาก แต่ก็สะดวกกว่าการพยายามใช้ iPhone เป็นกล้องรองพร้อมอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ
ทั้งนี้ กล้องยังไม่รองรับระบบ Face ID แบบ iPhone และ iPad ซึ่งน่าเสียดาย แม้ว่าเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID ที่ปุ่มเปิดเครื่องจะทำงานได้ดีก็ตาม
MacBook Pro รันระบบปฏิบัติการ macOS Sequoia 15.1 รุ่นล่าสุด ที่มาพร้อมฟีเจอร์อื่น ๆ มากมาย เช่นเดียวกับ iOS 18.1 มีระบบจัดการหน้าต่างใหม่ที่มีประโยชน์มาก สามารถสแนปหน้าต่างไปที่ด้านข้างหรือเต็มจอเมื่อลากไปที่ขอบจอ คล้ายกับฟีเจอร์ใน Windows 11
นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Mirror iPhone ที่ให้ผู้ใช้จะสามารถเห็นและควบคุม iPhone แบบไร้สายบน Mac ด้วยเมาส์และคีย์บอร์ดได้ โดยไม่ต้องต่อสายอีกด้วย
แต่ฟีเจอร์เด่นใหม่ที่ทำให้หลายคนตื่นเต้นมากที่สุด คงหนีไม่พ้นชุดแรกของ Apple Intelligence ซึ่งรวมถึงเครื่องมือเขียนด้วย AI ที่สามารถตรวจทาน เขียนใหม่ และสรุปข้อความได้เหมือนใน iPhone หรือ iPad เนื่องจากถูกสร้างเข้ามาในระบบปฏิบัติการโดยตรง จึงใช้งานง่ายและเร็วกว่าตัวเลือกจากบริษัทอื่น
นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถพิมพ์คุยกับ Siri ตัวใหม่ได้ ซึ่งทำงานได้ดีมากบน Mac แค่แตะปุ่ม Command สองครั้ง ก็จะเปิดกล่องข้อความสำหรับพิมพ์คำถามแทนการใช้เสียง ใครที่ทำงานในที่ที่มีเสียงดังไม่ได้ ฟีเจอร์นี้ตอบโจทย์
MacBook Pro 14 นิ้วทุกรุ่นมาพร้อมพอร์ต USB-C สามพอร์ตและสามารถเชื่อมต่อจอภายนอกได้สองจอพร้อมกัน
เรื่องแบตเตอรี่ รุ่นนี้นับว่าใช้งานได้นานที่สุดในระดับเดียวกัน อยู่ได้ประมาณ 21 ชั่วโมงสำหรับการใช้งานเว็บไซต์ทั่วไป และทำงานได้ประมาณ 18 ชั่วโมงกับการเปิดแท็บใน Chrome แบบเยอะ ๆ กรณีใช้แค่โปรแกรม Word โปรแกรม Utilities เล็กๆ และแชตทั่วๆไป ยิ่งใช้งานแบตน้อยลงไปอีก นอกจากนี้ ยังมีแบตเตอรี่สแตนด์บายที่ดี สูญเสียแบตแค่ 1% เมื่อปิดเครื่องทิ้งไว้ข้ามคืน
เหล่านี้คือสเปก MacBook Pro M4 ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติวงการแล็ปท็อปครั้งสำคัญของ Apple ด้วยการนำเอาเทคโนโลยี AI มาผสมผสานกับประสิทธิภาพชิปรุ่นล่าสุด ทำให้การทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 40% เมื่อเทียบกับรุ่น M3 พร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานถึง 22 ชั่วโมง และหน้าจอ Liquid Retina XDR ที่ให้ภาพคมชัดสมจริง สำหรับผู้ที่ทำงานด้านครีเอทีฟ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือผู้ที่ต้องการใช้งาน AI และ Machine Learning แม้จะมีราคาเริ่มต้นที่ 61,900 บาท แต่ประสิทธิภาพที่ได้รับนั้นคุ้มค่ากับการลงทุน อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่ปกติใช้งานทั่วไป เน้นการใช้งานพื้นฐาน การเลือก MacBook Pro M3 หรือ MacBook Air อาจเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าเช่นกัน